“ตกลงว่าอย่างนี้นะก้อง ...ก้อง ...ก้องภพฟังอยู่รึเปล่า?”
ก้องภพเรียกสติของตัวเองกลับมาสู่วงสนทนา ตอนนี้เขากำลังอยู่ในบังกะโลริมทะเลหลังหนึ่งของเพื่อนที่มารวมตัวกัน เพื่อคิดการแสดงสำหรับปีหนึ่งในคืนนี้ เขาเองก็โดนเรียกตัวให้มาเป็นหนึ่งในนักแสดง เตรียมซักซ้อมบทที่วางไว้ให้เข้าใจตรงกัน และทุกคนก็กำลังมองเขาเพื่อรอคำตอบรับ
“อืม ฟังอยู่ เราเอาตามที่เมย์บอกก็ได้”
พอได้ยินประโยคตกลง เมย์จึงสรุปการประชุม โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความจริง เพราะในหัวของก้องภพไม่ได้อยู่ที่การแสดงเลยแม้แต่น้อย หากมันกำลังลอยไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย ซึ่งส่งผลต่อทั้งความรู้สึกของเขาและใครบางคน
...พี่อาทิตย์โกรธเขา
...ไม่ใช่แค่โกรธธรรมดา แต่โกรธจัดมากกว่าทุกครั้ง
เขาไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นอย่างนั้น พอเขามาตั้งสติทบทวน ก็นึกอยากจะต่อยตัวเองแรง ๆ เหมือนกัน มันเป็นการกระทำที่บ้าบอ และไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดีเลยสักนิด เขารู้แค่ว่าอยากจะดับความหงุดหงิดของตัวเอง เลยดำน้ำทะเลลงไปให้อารมณ์เบาบางลง แต่มันกลับไปสร้างความตื่นตระหนกให้คนอื่น โดยเฉพาะคนที่เป็นคนออกคำสั่ง และเป็นคนเดียวกับที่พุ่งไปช่วยเขาคนแรก
...ทั้งท่าทางที่ร้อนรน ทั้งน้ำเสียงที่ห่วงใย รวมถึงแววตาที่หวาดกลัวนั้น เขาสัมผัสได้ว่ามันเต็มไปด้วยความจริงจังแค่ไหน
แต่สุดท้าย...พอรู้ว่าทั้งหมดมันเกิดจากแค่เหตุผลงี่เง่าเอาแต่ใจของเขา คงคล้ายการถูกตบหน้า เหยียบย้ำความหวังดีให้กลายเป็นเรื่องตลก และคงทำลายความรู้สึกของคนรับผิดชอบในฐานะเฮดว้ากจนหมดสิ้น
ก้องภพอยากจะขอโทษ... เขาไม่มีอะไรจะอธิบายนอกจากแค่คำพูดเพียงคำเดียว แต่ถึงเขาจะพยายามเที่ยวตามหาพี่อาทิตย์ไปทั่วรีสอร์ทก็ยังไม่เห็นแม้เงา กระทั่งโดนดึงมาให้ประชุมเรื่องการแสดงเลยจำต้องหยุดเอาไว้ หากในใจก็ยังเผลอกระวนกระวายด้วยความรู้สึกผิดไม่หาย
คนคิดมากเผลอถอนหายใจ ระบายความอึดอัดของตัวเองผ่านอากาศ
...เอาเถอะ...ยังไงซะคืนนี้หลังการแสดงจะมีศึก ‘ชิงเกียร์ภาค’ อย่างน้อยพี่อาทิตย์ก็ต้องมาเป็นหัวหน้าคุม และเขาก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าศึกครั้งนี้คงจะโหดกว่าที่ผ่านมาแน่ ๆ เพราะเป็นการพิสูจน์รุ่นของปีหนึ่งเป็นศึกสุดท้ายแล้ว แต่เขามั่นใจว่าจะต้องทำทุกทางให้พวกพี่ยอมรับเขาเป็นส่วนหนึ่งของภาควิชา
...และเหนื่อสิ่งอื่นใด เขาหวังว่าพี่อาทิตย์จะยอมรับฟังคำพูดนั้นของเขา
...
...
หนึ่งทุ่มตรง
หลังน้อง ๆ จัดการกินข้าวแบบบุฟเฟต์อิ่มหนำสำราญไปที่เรียบร้อย ก็ถูกสั่งรวมพลมายังลานประชุม ซึ่งมีเวทีเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงจากทุกชั้นปีไล่จากรุ่นใหญ่ไปจนถึงรุ่นเล็ก
เปิดประเดิมกันด้วยการแสดงของพี่ปีสี่ นำโดยพี่เดียร์พร้อมเพื่อน ๆ หอบกีตาร์มาร้องเพลงเบา ๆ เป็นการอุ่นเครื่องให้น้อง หากแค่นี้ก็เรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ กันได้ดังสนั่น และตามมาด้วยเสียงกรี๊ดปนเสียงหัวเราะที่ดังกว่านั้น จากการแสดงตลกล้อเลียนละครโทรทัศน์ หนัง โฆษณา เอามาครีเอทยำมิกซ์รวมกันมั่วของพวกพี่ ๆ กลุ่มสันทนาการปีสอง ซึ่งมาแสดงข้ามตัดหน้าชั้นปีสามไป ด้วยเหตุผลว่า การแสดงของชั้นปีสามยังไม่พร้อม แต่เมื่อปีสองแสดงจบ พี่ปีสามก็ยังคงให้สัญญาณว่ายังไม่เรียบร้อยดี ปีหนึ่งจึงต้องขึ้นแสดงก่อน
ก้องภพเดินไปด้านหลังเวที เล่นตามบทบาทของตัวเองที่วางไว้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะเนื้อเรื่องที่เมย์เป็นคนคิด ก็คือเรื่องที่บอกเล่าชีวิตของนักศึกษาเฟรชชี่คณะวิศวะ ผ่านการเจอเพื่อน โดนรับน้อง เจอรุ่นพี่ที่ให้คำปรึกษา
เขาไม่ได้แสดงเป็นตัวเอก แค่เป็นตัวละครนักศึกษาที่อยู่ปีหนึ่งเหมือนกัน แทบจะไม่ค่อยมีบทพูดอะไรมากมาย โผล่มาแค่ฉากสองฉากก็ต้องไปรออยู่ข้างเวที เลยทำให้เขามีเวลาที่จะสำรวจมองไปทั่วลาน ก่อนจะหยุดสายตาลงเมื่อเห็นกลุ่มของพี่ปีสามทยอยเดินตามเข้ามาจากทางด้านหลังแถวน้อง ...หนึ่งในนั้นคือคนที่เขาตามหาตัวมาตลอดทั้งวัน
ก้องภพจับจ้องไปยังเฮดว้ากอาทิตย์ ซึ่งยืนรวมกับกลุ่มพี่ว้ากกำลังมองตรงไปยังการแสดงบนเวที รู้สึกโล่งอกที่อีกฝ่ายมาตามคาดเดา และคราวนี้เขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมืออีก
...เป้าหมายในใจถูกตั้งไว้อย่างมุ่งมั่น หากแล้วเขาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากนักแสดง
“คุณเห็นเกียร์นี่มั้ย เกียร์นี่เป็นความภาคภูมิใจของคณะวิศวะ ถ้าพวกผมไม่ให้เกียร์กับรุ่นของคุณ แล้วคุณจะทำยังไง!”
“ก็แย่งมาสิครับ!”
ก้องภพรีบหันกลับมามองบนเวทีด้วยความตกใจ ...บทพูดนี้ มันเหมือนกับคำพูดของเขาที่เคยพูดไปตอนประชุมเชียร์ครั้งแรก ประโยคปีนเกลียวที่ทำให้เขาถูกหมายหัวจากเฮดว้าก เพราะไปดูถูกศักดิ์ศรีรุ่นใหญ่เข้า เขาไม่รู้มา