“เคยมีคนสอนความสามัคคีให้พวกคุณมั้ยครับ!”
...เคย...
มันแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นคำตอบนี้ เรียนจนเข้ามหาวิทยาลัย ใครบ้างจะไม่รู้จักคำง่าย ๆ แต่ในสายตาของเฮดว้ากที่กำลังคุมน้องอยู่กลางสนามตอนสี่โมงเย็น คงเห็นบรรดาเด็กปีหนึ่งมีความสามารถเท่ากับเด็กอนุบาลหนึ่ง ด้วยผลงานวีรกรรมที่เคยทำไว้
“มาประชุมไม่เคยครบ เข้าแถวช้า ขนาดโดนลงโทษก็ยังไม่พร้อม! พวกคุณไม่รู้จักความสามัคคีกันเหรอครับ หรือว่าสมองไม่เคยคิดจะใส่ใจจำ!!”
คำตะโกนดังใส่เหล่าเฟรชชี่ ซึ่งวันนี้สวมเสื้อเชียร์คณะวิศวะพร้อมกางเกงวอร์มเตรียมลุย เหมือนเล็งเห็นในชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์เลวร้ายอะไรบ้าง และก็ไม่ผิดไปจากที่คิด เมื่อเฮดว้ากเตรียมบทลงโทษรออยู่แล้ว
“ไม่เป็นไร ถ้าพวกคุณลืม ผมจะสอนให้ใหม่เอง แต่วิธีสอนของผม ขอเตือนไว้ก่อนถ้าใครสำออย คิดว่าตัวเองทนรับไม่ไหว ก็ให้ออกไปซะ!”
เป็นธรรมดาของการรับน้องที่จะมีโซนแยกพวกคนป่วยหรือร่างกายอ่อนแอเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้อง ๆ บาดเจ็บ เพราะการฝึกลงโทษของพี่ว้ากดุโหดไม่แตกต่างไปจากการฝึกรด.เข้าค่ายทหาร ดังนั้นจึงมีน้องปีหนึ่งหลายคนอยากจะขอถอนตัวออก เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษ ถ้าไม่ติดอยู่ที่คำพูดประโยคต่อไปของเฮดว้าก
“แต่...ถ้าคุณออกไป อย่าลืมว่าเพื่อนของคุณที่อยู่ที่นี่จะได้เรียนความสามัคคีเผื่อพวกคุณด้วย!”
...ดักทางไว้แบบนี้แล้วใครมันจะกล้าออก เพราะถ้าเลือกหนีไปพักก็เท่ากับว่าเพื่อน ๆ ต้องรับเคราะห์แทนตัวเองด้วย เลยไม่มีใครคิดโชว์ความเห็นแก่ตัวกันโต้ง ๆ ปล่อยให้อาทิตย์กวาดตามองแถวที่ยังคงเป็นระเบียบ ไร้วี่แววคนยกมือขอออก จนต้องเอ่ยปากชมอย่างพอใจ
“ดี! ผมขอชมในสปิริตของพวกคุณ เริ่มมีความสามัคคีกันบ้างแล้ว แต่แค่นี้ยังไม่พอ! พวกคุณหันหลังกลับไป เห็นเพื่อนของผมที่อยู่ตรงสนามอีกฝั่งหนึ่งมั้ย... พวกคุณต้องวิ่งไปจัดแถวใหม่ที่โน้นให้พร้อมภายในเวลา 3 นาที ถ้าช้าผมจะลงโทษคุณตามจำนวนเวลาเป็นวินาทีที่เกินมา เข้าใจมั้ย!!”
“เข้าใจครับ/ค่ะ”
เฟรชชี่รับคำพร้อมเพรียงหนักแน่น ตรงข้ามกับสีหน้าที่เริ่มซีดลง เพราะสนามที่ยืนอยู่มันก็ใหญ่ไม่ใช่เล่น ไซต์เท่ากับสนามฟุตบอลดี ๆ นี่เอง แล้วพี่ว้ากที่ยืนรออีกฝั่งก็อยู่โคตรไกลชนิดคนละประตูโกล ซ้ำยังกำหนดเวลาให้แค่สามนาที มันจะไปวิ่งกันทันได้ยังไง ใจอยากจะร้องประท้วง แต่ไม่มีความปราณีใด ๆ จากเฮดว้ากอยู่แล้ว เพราะเจ้าตัวกลับรีบตะโกนเร่ง
“เอ้า! เข้าใจแล้วก็ไปสิ! ยืนบื้อทำไมกัน ผมเริ่มจับเวลาแล้วนะ ไป๊!!”
สิ้นเสียงสั่งก็เหมือนกับมหกรรรมผึ้งแตกรัง ทุกคนต่างวิ่งกระจายกันตรงดิ่งไปยังสนามอีกฝั่ง เพื่อให้ทันเวลาสามนาที ทว่าสนามห่างกันเป็นโยชน์ย่อมไม่มีทางทันอยู่แล้ว สุดท้ายก็ต้องโดนลุกนั่งกันเป็นร้อย สลับกับวิ่งไปจัดแถวใหม่อีกที วนอยู่อย่างนั้นจนกว่าแถวจะเป็นระเบียบ โดยมีอาทิตย์ทำหน้าที่เดินสำรวจแถวไปเรื่อย ๆ
วิ่งหลายเที่ยว มันก็ต้องมีล้ากันบ้าง น้องบางคนเริ่มหน้าซีด เหงื่อไหลเป็นน้ำ หอบหายใจกันแฮ่ก ๆ แต่พอถูกสายตาดุ ๆ ของอาทิตย์มองก็ต้องเก็บอาการยืนนิ่งตามระเบียบพักตัวตรง ยกเว้นน้องผู้หญิงแถวหลังที่ขนาดโดนเขาจ้องก็ยังคงยืนก้มหน้าหอบเหนื่อยอยู่
...เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อนนะ...ทำไมน้องคนนี้หอบแปลก ๆ มันถี่ผิดปกติ หรือว่า...
ยังไม่ทันได้คิดอะไร คนหอบก็ทรุดตัวล้มลงทั้งยืน ซึ่งโชคดีที่อาทิตย์ยืนมองอยู่แล้ว เลยรีบพุ่งเข้าไปรับตัวประคองไว้ได้ทัน ไม่ให้หัวน้องฟาดลงกับพื้น แต่โชคร้ายที่เรื่องมาเกิดตอนเข้าแถวอยู่อีกฝากสนามทำให้หน่วยพยาบาลไม่เห็นเหตุการณ์ จนเขาต้องตะโกนเรียกข้ามฝั่งดังลั่น
“พยาบาล!! พยาบาลอยู่ไหนครับ!! มาดูน้องด้วย!!”
เสียงของอาทิตย์ทำให้ปีหนึ่งทุกคนเริ่มหันไปมองอย่างตกใจ หากก็ถูกพี่ว้ากคนอื่นร้องสั่งห้าม
“ไม่ต้องหันไปมอง! ใครให้พวกคุณหันไปครับ!! หันกลับมาตรงหน้าเดี๋ยวนี้!!”
คำสั่งดังอย่างเฉียบขาด เพื่อเป็นการระงับความวุ่นวายตกใจของน้อง ๆ ทุกคนจึงต้องหันกลับไปมองด้านหน้า ทั้ง ๆ ที่ใจอยากจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากด้านหลัง
กระนั้นสำหรับก้องภพซึ่งยืนอยู่ท้ายแถว เพราะถูกแยกเดี่ยวไว้เป็นกรณีพิเศษจากการลงโทษที่เขาไม่มีป้ายชื่อ เขากลับมองเห็นการกระทำทุกอย่างชัดเจนผ่านสายตา เมื่อพี่พยาบาลสามคนมาถึงจุดเกิดเหตุ เพื่อเช็คดูอาการ แต่กลับถูกคนประคองชิงบอกด้วยน้ำเสียงรวดเร็ว
“น้องเป็นไฮเปอร์* อย่าจับน้องนอน หาถุงมาครอบปากกับจมูกให้น้องหายใจ ถ้าไม่ไหวพาส่งห้องพยาบาลเลย”
เป็นคำวิเคราะห์ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายมากความ เพื่อประหยัดเวลาในการช่วยเหลือน้องให้เร็วที่สุด ก้องภพมองเห็นพี่พยาบาลพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจัดการอุ้มคนป่วยพาออกไปนอกสนาม เหลือแค่เฮดว้ากซึ่งมองตาม จนกระทั่งแน่ใจว่าเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยหันกลับมา เดินตรงไปยังด้านหน้าสุดของแถว ก่อนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง
“ผมบอกพวกคุณแล้วนะครับ ใครรู้ตัวว่าไม่ไหวก็ออกไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ผมรับผิดชอบชีวิตพวกคุณไม่ได้ คราวนี้ถ้าเกิดมีใครเป็นอะไรขึ้นมากลางสนามอีก ผมจะปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนั้น และเพื่อนคนที่เหลือก็ต้องโดนลงโทษแทนคุณด้วย!!”
ประโยคขู่โดยใช้เพื่อนเป็นบทลงโทษเหมือนกับครั้งแรก เพียงแต่คราวนี้ต่างออกไป เพราะพวกเด็กปีหนึ่งต่างวิ่งกันมาเกือบชั่วโมงแล้ว ย่อมต้องมีคนรู้สึกว่าฝืนต่อไปไม่ไหว ดังนั้น ถึงจะอยากอยู่ต่อ แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิต จึงมีคนยกมือขอออกไปเกือบยี่สิบกว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และพอพี่ว้ากอนุญาตเสร็จ พวกที่เหลือถึงค่อยเริ่มวิ่งกันต่อ จนกระทั่งอาทิตย์ตกดิน ฟ้าเริ่มมืด บรร